วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การปกครองยุคสมัยกรุงสุโขทัย


การปกครองยุคสมัยกรุงสุโขทัย






ในปี พ.ศ.๑๗๙๒-พ.ศ.๑๙๘๑ ราชอาณาจักรไทยได้สถาปนาขึ้น เป็นกรุงสุโขทัย สมัยสุโขทัยเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือ พ่อขุนแห่งกรุงสุโขทัยทรงเป็นประมุขและทรงปกครองประชาชนในลักษณะ "พ่อปกครองลูก" คือถือพระองค์องค์เป็นพ่อที่ให้สิทธิและ เสรีภาพ และใกล้ชิดกับราษฎร มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองป้องกันภัยและส่งเสริมความสุขให้ราษฎร ราษฎรในฐานะบุตรก็มีหน้าที่ให้ความเคารพเชื่อฟังพ่อขุน

พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยทรงดำเนินการปกครองประเทศด้วยพระองค์เอง โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้ช่วยเหลือในการปกครองต่างพระเนตร พระกรรณ และรับผิดชอบโดยตรงต่อพระองค์ อาณาจักรสุโขทัยได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ได้รวบรวมหัวเมืองน้อยเข้าไว้ในปกครองมากมาย ยากที่จะปกครองหัวเมืองต่างๆ ด้วยพระองค์เองได้อย่างทั่วถึง การเมืองการปกครองต่างๆ ในสมัยนั้นอาจจำแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ

๑.การปกครองส่วนกลาง ส่วนกลาง ได้แก่ เมืองหลวงและเมืองลูกหลวง เมืองหลวง คือสุโขทัยนั้นอยู่ในความปกครองของพระมหากษัตริย์โดยตรง เมืองลูกหลวง เป็นเมืองหน้าด่านที่อยู่รายล้อมเมืองหลวง ๔ ทิศ เมืองเหล่านี้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้พระราชโอรสไปปกครองได้แก่


(๑)ทิศเหนือ เมืองศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก)


(๒)ทิศตะวันออก เมืองสองแคว (พิษณุโลก)


(๓) ทิศใต้ เมืองสระหลวง (พิจิตร)


(๔) ทิศตะวันตก เมืองกำแพงเพชร (ชากังราว)

๒.การปกครองหัวเมือง หัวเมือง หมายถึงเมืองที่อยู่นอกอาณาเขตเมืองลูกหลวง มี ๒ ลักษณะ คือ


(๑)หัวเมืองชั้นนอก เป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจากกรุงสุโขทัย หรืออยู่รอบนอกของเมืองหลวงบางเมือง มีเจ้าเมืองเดิม หรือเชื้อสายของเจ้าเมืองเดิมปกครองบางเมือง พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยทรงแต่งตั้ง เชื้อพระวงศ์หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ไว้วางพระราชหฤทัยไปปกครอง บางครั้งเรียกหัวเมืองชั้นนอกว่า เมืองท้าวพระยา มหานคร


(๒)หัวเมืองประเทศราช เป็นเมืองภายนอกพระราชอาณาจักร เมืองเหล่านี้มีกษัตริย์ของตนเองปกครอง แต่ยอมรับในอำนาจของกรุงสุโขทัย พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยเป็นเพียงเจ้าคุ้มครอง โดยหัวเมืองเหล่านี้จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย และส่งทหารมาช่วยรบเมื่อทางกรุงสุโขทัยมีคำสั่งไปร้องขอ


sdadad

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"ศีรษะนี้เรามอบให้พระเจ้าแผ่นดิน!!" พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง



ออฟพงษ์พัฒน์ได้รางวัลจากนาฎราช จากบทในละครพระจันทร์สีรุ้ง ขึ้นพูดขอบคุณ:
บท นี้เป็นบทเกี่ยวกับพ่อ พ่อเป็นเสาหลักของบ้าน
บ้านของผมหลังใหญ่มาก เราอยู่กันหลายคน
ผมเกิดมาเราก็อยู่กันอย่างสงบมานาน บรรพบุรุษของพ่อเสียเหงื่อ
เสียเลือดเอาชีวิตเข้าแลก กว่าจะได้บ้านหลังนี้มา
จนมาถึงวันนี้
พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแล บ้าน ดูแลความสุขของทุกๆ คนในบ้าน
ถ้ามีใครสักคนโกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้
แต่ พาลมาลงที่พ่อ
เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่ออกจากบ้าน
ผมจะเดินไปบอกคนๆ นั้นว่า
ถ้าเกลียดพ่อ
ไม่ รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ
ที่นี่ คือแผ่นดินของพ่อ ผมรักในหลวงครับ และผมก็เชื่อว่าทุกคนก็รักในหลวงเหมือนกัน
ประโยคสุดท้ายของคุณพงษ์ พัฒน์: (เสียงดังก้อง "ผมเชื่อว่าเรามีสีเดียวกัน ศีรษะนี้เรามอบให้พระเจ้าแผ่นดิน!!"

ในฮอลล์ปรบมือสนั่นพี่แต๋มชรัส ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา นุ่นศิรพันธ์ยืนขึ้นปรบมือ พี่มอสปรบมือ เสียงปรบมือดังยาวนาน

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ว่ากันว่า

ว่ากันว่า อาหารเลิศรสที่สุด ยังไม่หอมหวานเท่าอิสระภาพ

ว่ากันว่า การได้ยืนบนแผ่นดิน จะไม่ภูมิใจ หากแผ่นดินนั้น ไม่ได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ

ว่ากันว่า สงครามนั้นนำมาซึ่งการสูญเสีย แต่สงครามก็ทำให้หลายๆคนรู้ถึงคุณค่าแห่งชีวิต

ว่ากันว่าสงครามนั้น เกิดขึ้นจากข้อพิพาท หรือการแย่งชิง

แต่ไม่เคยมีสงครามไหน ที่ยิงกันตายเพียงเพราะใส่เสื้อคนละสี...

หลับฝันดีชาวไทย พรุ่งนี้แปดโมงเช้า ผมยังจะได้ยินเสียงเพลงชาติต่อไป

ประเทศไทยจงเจริญ...


วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ศัทพ์กายวิภาคศาสตร์เบื้องต้น (anatomy)

ศัพท์อนาโตมี
กระดูก
     - กระดูกอุ้งเชิงกราน.................................เพลวิส
     - กระดูกข้อมือ.........................................คาลปอล
     - กระดูกฝ่ามือ.........................................เม็ตตะคาปอล
     - กระดูกสะบัก.........................................สะคาพูล่า
     - กระดูกเชิงกราน....................................ฮิบโบน
     - กระดูกต้นขา.........................................ฟีเมอร์
     - กระดูกสะบ้า..........................................พาเท็ลล่า
     - กระดูกหน้าแข้ง......................................ทิเบีย
     - กระดูกน่อง............................................พิบูล่า
     - กระดูกข้อเท้า........................................ทาซ่อล
     - กระดูกฝ่าเท้า........................................เม็ตตะทาซ่อล
     - กระดูกนิ้วเท้า........................................ฟาแล็งค์
     - กระดูกสันหลังส่วนคอ...............................ซี สไปน์
     - กระดูกหัก..............................................แฟคเจอร์
     - กระดูกซี่โครง.........................................ริบส์
     - กระดูกต้นแขน........................................ฮิวเมอร์รัส
     - กระดูกหน้าอก.........................................สเตอร์นั่ม
     - กระดูกปลายแขนอันนอก............................เรเดียส
     - กระดูกปลายแขนอันใน...............................อัลน่า

ส่วนของร่างกาย
     - ส่วนหน้าอก...................................ที สไปน์
     - ส่วนหลัง........................................แอล สไปน์
     - ส่วนก้น..........................................เอสไปน์
     - ม่านตา..........................................พีพิล
     - คอ................................................โทรท
     - นิ้วมือ............................................ฟาแล็งค์
     - หลอดลม........................................บรองคัส
     - ไหปลาร้า........................................คาลวิเคิล







ชีพจร( พั้ลท์ )
     - ชีพจรที่คอ.......................................แคโรติดพัลส์
     - ชีพจรที่ข้อพับแขน.............................บราเชียลพัลส์
     - ชีพจรที่ขาหนีบ..................................ฟีเมอร่อลพัลส์
     - ชีพจรที่หลังเท้า.................................คอร์ซาลิสฟีดีสพัลส์
     - ชีพจรที่ข้อมือ....................................เรเดียลพัลส์
อาการต่างๆ
     - คนเจ็บรู้สึกตัวดี......................อะเลิท
     - คนเจ็บไม่ตอบสนอง................อันเรสสปอนท์
     - เลือดออกภายนอก..................เอ็ทซ์เทอร์น่อลบีดดิ้ง
     - เลือดออกภายใน ( ตกเลือด )..........อินเทอร์น่อลบีดดิ้ง
     - การกดเจ็บ............................เท็นเดอร์เน็ส
     - การชัก.................................คอนวัลท์ชั่น
     - ความดัน...............................บัดเพ็ชเชอร์ ( บีพี )
     - การบาดเจ็บที่ศรีษะ.................เฮ็ดอินจูรี่
     - กระดูกหัก.............................โบน
     - หมดสติ................................โคม่า
ลักษะแผล
     - แผลฟกช้ำ............................คอนทูชั่น
     - แผลเลือดคั่ง..........................ฮีมาโตม่า
     - แผลถลอก.............................อะเบรชั่นวูน
     - แผลฉีกขาด...........................ลาเซอร์เรชั่นวูน
     - แผลเนื้อหลุดขาดออก...............อะวั้ลท์ชั่นวูน
     - แผลถูกแทงทะลุ.....................พีนีเตรตวูน
     - แผลตัดขาด...........................แอมพูเทชั่นวูน
     - แผลไหม้...............................เบิร์น
     - แผลผิดรูป.............................ดีฟอร์มิตี้
อื่นๆ-ทั่วไป
     - การดามกระดูก.........................สปริ้นท์
     - การผูกคอ.................................แฮ็งค์กิ้ง
     - บล็อคหลัง.................................เค็นดิค ( KED )
     - ผ้ายืด.......................................อีลาสติกเบ็นดิค

กาสโกรว์โคม่าสกอร์ / การประเมินผู้บาดเจ็บ

กาสโกรว์โคม่าสกอร์ / การประเมินผู้บาดเจ็บ
( โดยได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูล จาก น.พยาบาล หรือ พ.บ.11 ) ในหลักสูตร EMT-B
 
1. การลืมตา
     - หากรู้สึกตัวดี...............................................ให้ 4 คะแนน
     - ต้องเรียกถึงรู้สึกตัว......................................ให้ 3 คะแนน
     - ต้องกระตุ้นให้เจ็บ........................................ให้ 2 คะแนน
     - ไม่รู้สึกตัว ( โคม่า )......................................ให้ 1 คะแนน
2. การพูด
     - รู้สึกตัวดีถามตอบรู้เรื่อง...................................ให้ 5 คะแนน
     - พูดสับสน......................................................ให้ 4 คะแนน
     - พูดเป็นคำๆ...................................................ให้ 3 คะแนน
     - ส่งเสียงไม่เป็นคำ............................................ให้ 2 คะแนน
     - ไม่รู้สึกตัว ( โคม่า ).........................................ให้ 1 คะแนน
3.การเคลื่อนไหว
     - รู้สึกตัวดี..................................................ให้ 6 คะแนน
     - บอกตำแหน่งที่เจ็บได้.................................ให้ 5 คะแนน
     - ชักอวัยวะหนีเมื่อกระตุ้นที่เจ็บ.......................ให้ 4 คะแนน
     - เกร็งเมื่อถูกกระตุ้นที่เจ็บ.............................ให้ 3 คะแนน
     - เกร็งตัวงอเมื่อถูกกระตุ้นที่เจ็บ......................ให้ 2 คะแนน
     - ไม่รู้สึกตัว ( โคม่า )....................................ให้ 1 คะแนน
***หมายเหตุ*** สลบปลุกไม่ตื่นและไม่ตอบสนองใดๆจะเป็น 3 แต้ม
 
( ให้ประเมินทีละขั้นตอนแล้วรวมคะแนนทั้ง 3 ข้อ )
***** 10-15 คะแนน ถือว่าผู้ได้รับบาดเจ็บอาการค่อนข้างดี
*****   4- 9  คะแนน ถือว่าผู้ได้รับบาดเจ็บอาการไม่ดี
*****       3  คะแนน ถือว่าอาการสาหัสอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

สามารถนำไปใช้ในกรณีที่พบเหตุฉุกเฉินเพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่โรงพยาบาลได้ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แพนด้ากู้ขาติ^^

ท้าวมหาอุปราชา ไสแพนด้าเข้ากู้เอกราช
ดั่งที่ปรากฏไว้ในพงศาวดารฉบับที่ 16
บทที่ 8 วรรคที่ 2
อ้ายด้าเอ๋ย ยามศึกเช่นนี้คงมีเพียงเอ็งสองที่เป็นทัพหน้า
ยามนี้พม่ารามันได้บุกมายึดเนินหนองไผ่ของเรา
เสียงดังอึงคนึงมี
โหราธิบดีลั่นกองชัยธงไทยโบกสะบัด
เอ็งจงเป็นแกนนำดำ-ขาว
เจ้าหลินฮุยเลฮุ่ย เจ้าชวงช่วงช่วงชิงชัย
เมื่อใดสัญญาณจงกลิ้งนำตัวหลุนหลุนลงจากเนินเขา
เข้าพัวพันแข้งพันขาพม่ารามันให้มันล้มกลิ้ง
กัดกินใบไผ่ลำต้นให้มันสิ้นซาก
เมื่อพม่าไร้ซึ่งต้นไผ่ไว้ทำข้าวหลามแล้วไซร้
ความมีชัยย่อมมีแก่เรา ไชโย...

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ดนตรี

ดนตรี

"ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก" เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำพูดดังกล่าว แต่กี่คนจะทราบรู้ว่า แท้จริงแล้ว ดนตรีมีความสำคัญอย่างไรกับชีวิตมนุษย์

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของ ดนตรี ไว้ว่า "เสียงที่ประกอบกันเป็นทำนองเพลง เครื่องบรรเลงซึ่งมีเสียงดังทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน หรือเกิดอารมณ์รัก โศกหรือรื่นเริง" จากคำแปลดังกล่าวก็คงพอช่วยให้เราเข้าใจความหมายในระดับหนึ่ง

ดนตรีเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มานานนับ พันปี แสดงให้เห็นว่า ชีวิตมนุษย์เกี่ยวข้องกับดนตรีอย่างแยกออกจากกันมิได้ ไม่ว่าคนๆนั้นจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ตลอดเวลาทั้งชีวิตของเค้าต้องเกี่ยวข้องกับดนตรีไม่มากก็น้อย บางคนรักและชอบดนตรีมากด้วยเหตุผลว่า มันให้ความรู้สึกเป็นสุข สนุกสนาน ผ่อนคลาย แต่บางคนกลับไม่ชอบซักเท่าใด รู้สึกว่าไม่จำเป็นกับชีวิต น่ารำคาญ มองดูเหมือนงานศิลปะอย่างอื่น เช่น งานปั้น จิตรกรรม ภาพเขียน ซึ่งเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น

แท้จริงแล้ว งานิลปะทุกแขนงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ หลายคนปิดกั้นความรู้สึกของตนเอง คิดว่าไม่เหมาะกับเรา เราไม่ใช่ศิลปิน วาดรูปก็ไม่เป็น เล่นกีตาร์ก็ไม่เป็น แต่นั่นมันสำคัญหรือ เราสามารถชื่นชอบหรือเสพงานศิลปะได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สร้าง สรรค์มันแต่อย่างใด แต่การที่เรารู้หรือเคยปฏิบัติมาก่อน ก็จะช่วยให้เราเข้าใจในสิ่งเหล่านั้นได้ดีขึ้น แต่ถ้าหากว่าคุณทำสิ่งเหล่านั้นไม่เป็น ก็จะเป็นอะไรไป ถ้ามีแต่คนเล่นดนตรี แล้วมี่คนฟัง มีแต่คนวาดรูป แต่ไม่มีใครดู ถ้าอย่างงั้นงานเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร

ดนตรีถูกใช้และเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์มากมาย ตั้งแต่คุณตื่นขึ้นมา เสียงเพลงจากวิทยุ เสียงเพลงเคารพธงชาติ ข้างบ้านเปิดเพลงหมอลำ วัยรุ่นเปิดเพลงแร๊ป เพลงร๊อค ที่กระจายเสียงหมู่บ้านเปิดเพลงพื้นเมือง คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างฮัมเพลงลูกทุ่ง วัดมีการสวด(เพลง)ศพ โบสถ์คริสต์มีการร้องเพลงประสานเสียง คนขับรถเมล์ก็ฟังเพลง มาที่ทำงานก็เปิดเพลงสากลฟัง กลับบ้านเปิดทีวีก็มีเพลง มีดนตรีอีกแล้ว แล้วอย่างนี้คงไม่ต้องสงสัยว่า ชีวิตคุณเกี่ยวข้องกับดนตรีหรือไม่

โดยมากแล้ว ดนตรีถูกใช้เป็นตัวประกอบในกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ ช่วยสร้างความเพลิดเพลิน ในการทำกิจกรรมนั้นๆ ทำงานไป เปิดเพลงฟังก็เพลินดีไม่เครียด อ่านหนังสือสอบก้เปิดเพลงเบาๆคลอไปก็ช่วยให้จดจำได้ง่ายขึ้น มีงานวิจัยออกมาในทำนองนั้นเช่นกัน และมีการเปรียบเทียบระหว่างต้นไม้ที่ถูกเปิดดนตรีให้ฟังทุกวัน กับต้นไม้ที่ไม่เคยได้ยินเสียงดนตรีเลย ต้นที่สัมผัสกับเสียงดนตรีอยู่เป็นประจำกลับมีลักษณะสวยงาม ออกดอกสดใสกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับต้นที่อยู่เงียบๆ!!! แม้แต่ต้นไม้ ดนตรียังส่งผลกับมัน นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่มีหูถึงสองข้างไว้รับฟังสิ่งต่างๆ

คุณค่าของดนตรีหรืองานศิลปะอื่นๆนั้น ไม่สามารถตีค่าออกมาเป็นรูปธรรมได้ว่ามีคุณค่ามากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับภาวะของผู้ฟังนั้นเอง เพราะเป็นเรื่องของนามธรรมล้วนๆ เป็นเรื่องของจิตใจ คงจะบอกไม่ได้ว่า เพลงใดมีคุณค่ามากกว่าเพลงใด เพราะคุณค่าของแต่ละคนต่อเพลงนั้นๆคงไม่เท่ากัน และเป็นการไม่ถูกต้องที่เราจะบอกว่า ดนตรีแบบนี้ ดีกว่าแบบนั้น เพราะคุณเอาอะไรมากตัดสินว่ามันดีกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่า เพลงร๊อกดีกว่าเพลงลูกทุ่ง หรือเพลงคลาสสิคสุดยอดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด นอกนั้นเป็นดนตรีขยะ ทุกบทเพลงหรือดนตรีใดๆล้วนมีคุณค่าในตัวของมันเองทั้งสิ้น การแบ่งแยกเพื่อจำแนกประเภทของดนตรีเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การแบ่งแยกเพื่อดูหมิ่นดนตรีที่แตกต่าง เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง